‘ไม่มีเวลา’ เป็นสุดยอดคำกล่าวหาที่เราอ้างกับตัวเองมาทั้งชีวิต เมื่อไม่สามารถทำตามเป้าหมายได้สำเร็จ หรือไม่ก็เป็นข้ออ้างที่จะไม่เริ่มต้นเปลี่ยนแปลงตัวเองให้ดีขึ้น ซึ่งก็คงไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ถ้าเราไม่ได้ต้องการเห็นผลลัพธ์ที่ดีกว่า และไม่ได้ต้องการคว้าความสำเร็จมาไว้ได้ในกำมือ
ทุกความสำเร็จบนโลกใบนี้ล้วนเกิดขึ้นมาภายใต้กำหนดเวลา หรือ นาฬิกาเรือนเดียวกัน คือ 1 วัน มี 24 ชั่วโมง แต่เราเคยสงสัยกันบ้างหรือไม่ว่าคนที่ประสบความสำเร็จเขาใช้เวลาอย่างไรจึงได้ผลลัพธ์ดังกล่าว หลักคิดเหล่านี้ก็ประมาณ Productivity hack – ขอเรียกเป็นคำไทยเก๋ๆ ว่า วิธีโกงเวลา เป็นการโกงที่ไม่ได้ไปเอารัดเอาเปรียบใคร อุปมาอุปมัยว่าเอาเปรียบความขี้เกียจในตัวเอง แต่ได้กำไรสู่ชีวิตของคุณครับ!
1. ตื่นเช้าขึ้นกว่าเดิม เพิ่มเติมเวลาในชีวิต
เวลาเข้างานของคนปกติส่วนใหญ่อยู่ที่ 8.30 น. ทำให้โดยทั่วไปเรามักจะเผื่อเวลาเอาไว้พอดีเสมอสำหรับการมาให้ทัน แต่มันก็เป็นความจริงที่เราก็มักจะไปทำงานสายกันอยู่เป็นประจำ หนำซ้ำยังต้องร้อนรน จนไม่ได้ทานอาหารเช้าที่ดีพอกับการเริ่มต้นวันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ได้มีโอกาสเตรียมการสำหรับแผนงานในแต่ละวัน วิถีเหล่านี้เป็นความเคยชินที่ทำให้เราเหลือเวลาในการทำงานแบบจริงๆ จังๆ น้อยลง ส่งผลทำให้เวลาทำงานเลยไปกินช่วงเวลาอื่นๆ ในชีวิต จนกลายเป็นวงจรวิกฤตที่พร้อมจะนำปัญหาและความผิดพลาดมาให้กับเราเสมอ
ผู้บริหารระดับโลกตื่นเช้าเป็นกิจวัตร:
-Howard Schultz, CEO Starbucks: ตื่นประมาณ 4.30 AM
-Anna Wintour, Editor in Chief Vouge Magazine: ตื่นประมาณ 5.45 AM
-A.G. Lafley, CEO P&G: ตื่นประมาณ 5.00 AM
-Tim Cook, CEO Apple: ตื่นประมาณ 5.00 AM
-Dan Akerson, CEO General Motors: ตื่นประมาณ 5.00 AM
-Richard Branson, Founder Virgin Group: ตื่นประมาณ 5.45 AM
-Ursula Burns, CEO Xerox: ตื่นประมาณ 5.15 AM
ที่มา: http://www.businessinsider.com
ผู้บริหารเหล่านี้ตื่นนอนแต่เนิ่นๆ เพื่อใช้เวลาในช่วงเช้ามืดไปกับการกินอาหารที่ครบหมู่ ออกกำลังกาย ฝึกจิตใจ เช็คอีเมล์ และวางแผนงาน การทำแบบนี้ก่อให้เกิดความพร้อมในการลุยงานหนักตลอดทั้งวัน และเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
2. ปรับนาฬิกาให้เดินไว ปรับกายใจให้เดินตาม
เราทุกคนล้วนถูกเวลาเป็นเครื่องกำหนดมาทั้งชีวิต ไปโรงเรียนต้องเคารพธงชาติตอน 8 โมง ไปทำงานต้องตอกบัตรเข้างาน 8 โมงครึ่ง เลิกงาน 5 โมงครึ่ง หรือไม่ว่าเราจะนัดใคร เวลาไหน เราก็ล้วนต้องคอยก้มหน้ามองหน้าปัดนาฬิกาเสมอ
ทำให้หลายๆ ครั้งถึงแม้เราจะเผื่อเวลาไว้แล้ว แต่มันก็ยังมีความผิดพลาดเล็ดลอดออกมาให้เห็น ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเราเผื่อเวลาไว้ไม่พอสำหรับการแก้ไขปัญหาอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้ ทางแก้ที่ง่ายที่สุดที่เราอาจไม่รู้และไม่นิยมทำกันก็คือ เพียงแค่ปรับเวลาในนาฬิกาของตัวเองให้เร็วขึ้นกว่าเดิมสักครึ่งชั่วโมง ซึ่งถือเป็นการเผื่อให้กับทุกอย่างที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เราก็จะไม่ไปนัดสายอีกเลย
แต่สาระสำคัญของการปรับนาฬิกาให้เร็วขึ้นไม่ได้อยู่ที่ทำให้เราไปทันนัด หากแต่เป็นการสร้างวินัยให้ตัวเราทำอะไรได้เร็วขึ้น ภายใต้ข้อจำกัดเดิม ช่วงแรกๆ เราอาจจะรู้สึกว่าฝืน แต่หากยืนระยะได้ เราจะค่อยๆ รู้สึกได้ว่า เราคิดไวขึ้น ตัดสินใจไวขึ้น ใช้เวลาคุ้มค่ามากขึ้น นอกจากนั้นเราจะรู้สึกว่ามีเวลาเหลือสำหรับการทำอย่างอื่นอีก และเมื่อวิถีแบบนี้ได้รับการฝึกซ้ำทำอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้เรากลายเป็นคนที่บริหารเวลาได้ดีขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าเป็นโอกาสที่จะทำให้เราเข้าใกล้ความสำเร็จมากยิ่งขึ้น
3. เลื่อน Dead Line ให้กระชั้น เพิ่มวันสุขสันต์ให้ชีวิต
หากมีโปรเจคหนึ่งให้เวลาในการทำงาน 1 เดือน คนส่วนใหญ่จะค่อยๆ ทำมันให้เสร็จพอดีภายในเวลาที่กำหนด ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร แต่ปัญหาก็คือ เราจะรู้ได้อย่างไรว่างานที่เสร็จภายในกำหนดนั้นมันสมบูรณ์แล้วแบบที่ไม่ต้องแก้ไข ธรรมชาติของการทำงานถ้าไฟไม่ลนก้น?
เราก็มักจะเอ้อระเหยลอยชาย เลือกอิ่มเอมกับความสบายก่อนแล้วค่อยมาตายเอาดาบหน้าทีหลัง วิถีการทำงานแบบนี้ อาจใช้ได้ผล แต่ไม่ใช่กับทุกคนและทุกครั้ง ซึ่งโดยมากนอกจากความเครียดที่ต้องกลับมาคอยแก้งานและถูกลูกค้าตำหนิแล้ว ยังทำให้เราสูญเสียเวลากับสิ่งอื่นๆ ในชีวิตเราไปด้วยพร้อมๆ กัน
เพียงแค่เราปรับ Dead Line กำหนดส่งงานให้ไวขึ้นกว่าเดิมครึ่งหนึ่งเช่น รับงานมาวันจันทร์ กำหนดส่งวันอาทิตย์ เราก็ทำมันให้เสร็จส่งตั้งแต่วันพุธ หลายคนอาจจะรู้สึกว่า “ส่งไวแบบนี้ก็ต้องแก้อยู่ดี” — ไม่ผิดครับ แต่ก็ไม่ต่างกันกับส่งวันอาทิตย์แล้วก็ต้องแก้อยู่ดี แต่กำไรที่เราได้คือ เราได้ใจลูกค้า ลูกค้าจะเห็นถึงความตั้งใจที่เรามีให้ เราทำงานส่งให้เขาก่อนกำหนด ไม่กลัวว่าจะต้องถูกแก้ และก็พร้อมจะบริการแก้ให้เต็มที่
ในระยะยาวถ้าเป็นแบบนี้ การันตีได้เลยว่า ไม่ว่าลูกค้ารายไหนก็จะติดใจที่จะใช้บริการกับเรา แต่ผลลัพธ์ที่สำคัญที่สุดเลย คือ เราจะได้เป็นเราคนใหม่ ที่ทำอะไรก็สำเร็จ เสร็จหมดทุกงาน ไม่มีปล่อยผ่านผัดวันประกันพรุ่ง และเหลือเวลาที่ยังไม่ถึง Dead Line เอาไว้ให้ผ่อนคลายแบบไม่เครียดอีกด้วย
4 เข้านอนให้ไว ต่อเวลาสดใสให้อนาคต
หลายๆ คนคงเคยชินกับการทำงานหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้งานสำเร็จลุล่วงไปได้ ความดีเพียงข้อเดียวของการโหมงานนอนดึก คือ ทำให้งานเสร็จ แต่มันเป็นการช่วงชิงเวลาในอนาคตของเรามาใช้อย่างร้ายกาจทีละเล็กทีละน้อย เพราะเมื่อไรก็ตามที่ร่างกายของเราอ่อนล้าจนถึงขีดสุด เราอาจต้องเข้าไปนอนอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน หรืออาจถึงขั้นเป็นเดือนเลยก็ได้ ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้น มันก็คงมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราต้องสูญเสียไปนอกจาก ‘เวลา’ ที่เราหวงแหน
การกำหนดเวลานอนของเราจะช่วยทำให้ร่างกายได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ในแบบที่ควรจะเป็น นอกจากนั้นก็จะทำให้เราตื่นได้เร็วขึ้น มีเวลาเหลือสำหรับการวางแผนทำอะไรได้ดีขึ้น ที่สำคัญเลยคือการนอนอย่างเพียงพอมันทำให้เราสดใส มีสติมากพอที่จะจัดการสิ่งต่างๆ ที่ถาโถมเข้าใส่เราได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งสำคัญสำหรับคนที่ต้องการจะประสบความสำเร็จในชีวิต
จริงๆ แล้วเวลาไม่ได้เป็นตัวกำหนดชีวิตเรา แต่เราต่างหากที่เป็นคนกำหนดเวลาในชีวิต หากเราคิดที่อยากจะประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเรื่องการงาน การเรียน หรือเรื่องความสัมพันธ์ เพียงแค่ปรับเปลี่ยนเวลาในชีวิตเราซะตั้งแต่วันนี้ เพราะการบริหารเวลาให้ดี คือ สิ่งสำคัญที่จะทำให้ทุกสิ่งรอบตัวเราดำเนินไปได้อย่างราบรื่นไม่มีสะดุด จนในที่สุดเราก็ก้าวไปถึงความสำเร็จได้อย่างที่ปรารถนา
ปรับเวลาให้ไวขึ้นอีกสักนิด เพื่อชีวิตได้คิดเพิ่มเริ่มสร้างสรรค์ สร้างนิสัยทำเสร็จก่อนไม่ผัดวัน เพียรสานฝันวันสำเร็จด้วยสองมือ