ชีวิตของบางคน เปรียบเป็นดินดำ ชุ่มน้ำ
หล่อเลี้ยง ความรัก ให้เติบโต
ดื่มกินแสงอาทิตย์ เป็นอาหารประทังราก ลำต้น
สังเคราะห์ แสงจันทร์ เพื่อข้ามผ่านค่ำคืนยาวนาน แห่งทุกข์ตน
ยังประโยชน์ ให้ดอก ให้ผล แก่ทุกผู้ ทุกคน
…………
ชีวิต เช่นนี้ มีน้อยกว่าน้อย
当 你 走 进 我 的 生 活…
是 美 事 故 的 发 生 。。
When you come into my life…
is the beautiful accident.
ฉันเชื่อเสมอมาว่า ในทุกความขัดแย้ง มีจุดสมดุลย์อยู่ในนั้น
ดังเช่นคำว่า “ความรัก” กับ “อิสรภาพ” อาจเป็นคำศัพท์สองคำที่ฟังดูขัดแย้งกัน คนที่เลือก ความรัก อาจเตรียมใจไว้แล้วว่าอิสรภาพกำลังเดินจากไป ! คนที่รักอิสระ ก็มักจะหวงแหนความเสรี (โสด) นี้ไว้ยิ่งชีพ
หากมองให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ความรัก และ อิสรภาพ เปรียบเสมือนปีกสองข้างที่ทำให้ชีวิต “บิน” ได้ หากมีใครสัก สองคน ที่มีปีก ครบด้วยกันทั้งคู่ ชีวิตจะดีขนาดไหนนะ ?
เมื่อคนสองคน ได้บินไปด้วยกัน…เมื่อคนสองคนได้พบจุดที่อยู่ตรงกลาง ระหว่าง ความพยายาม และการไร้ซึ่งความพยายาม…แล้วเหตุใดเราจึงมักแยก อิสรภาพ กับ ความรัก ให้ขาดจากกัน ?
ถ้ามองให้ลึกซึ้งกว่าเดิม ในความเป็นจริงแล้ว ชีวิตไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่นามธรรมเขียนเอาไว้ พวกเรามักจะเลือก ปีก เพียงข้างเดียวอยู่เสมอ
แบ่งแยก จนเราลืมไปแล้วว่า นี่มันสิ่งเดียวกัน ไม่เคยมีสิ่งใดที่ต่างกันเลย นอกจาก อคติ อันหยั่งรากลึกนั้น…
มนุษย์เราเป็นเผ่าพันธุ์ที่ชอบจัดประเภทและแบ่งแยก เพื่อจัดระเบียบสังคมให้ง่ายเข้า หรือบางครั้งเพื่อ อีโก้ อัตตา ของตัวเอง
ทั้ง ๆ ที่ ชีวิตคนเรานั้นเรียบง่าย และไม่เคยซับซ้อน …
สองแสนปีที่แล้ว พวกเรา ก่อกำเนิดได้ชื่อมาว่า โฮโมซาเปี้ยน
หนึ่งหมื่นปีที่แล้ว พวกเราเริ่มสร้าง อารยธรรม และ ศิลปะ
สามพันปีที่แล้ว นักวิทยาศาสตร์ เริ่มเข้าใจเรื่อง จักรวาล และ อนุภาคระดับเซลล์
สามร้อยปีที่แล้ว เราเริ่มมี รถทุกรุ่น ดาวเทียม TV โมบายโฟน และ สิ่งสะดวกสารพัด
ห้าสิบปีมานี้ พวกเราพัฒนาเข้าสู่ยุค 3G ,4G ,TOT ,INTUCH ,DTAC, TRUE ,AOT , CPALL, PTTGC, MINT, BDMS
( ไม่ได้ใบ้หุ้นนะ )
แต่จะใช้เวลาอีกกี่ปี? ที่เราจะล่วงรู้ถึงภาพลวงตาอันยิ่งใหญ่ ที่ช่วงเวลาอันแสนสั้น และประสาทสัมผัสหยาบ ๆ ของเราไม่บังอาจพิสูจน์
ภูเขา ตั้งตะหง่าน ที่เหมือนอยู่ไปค้ำฟ้าชั่วลูกชั่วหลาน ใช่ว่าจะไม่มีวันสลาย ( แต่เราดันตายไปก่อนทุกที ) นอกจากชีวิตแสนสั้น ทำให้เราคิดว่า มายาทั้งหลายตั้งอยู่ไม่สูญสลาย..ชีวิตของเรายัง สัมพัทธ อีกต่างหาก (ลุงไอสไตน์ กล่าวเอาไว้ )
อธิบายง่าย ๆ ได้ดังนี้….
ลองหาสิ่งตรงข้ามมาผูกประโยคเข้าด้วยกัน
เช่น ความงดงาม เกิดมาจาก ความน่าเกลียด
โลกภายใน เกิดมาจาก โลกภายนอก
รู้ความมืด เกิดมาจาก รู้ความสว่าง
‘สัมพัทธ’ ในคำแปลของฉัน ก็คือ ทุกสิ่งเป็นไปได้ แล้วแต่ว่า จะใช้อะไรมาอ้างอิง
ดังเช่น ประโยค คลาสสิคที่ว่า
เพชรจะไม่มีค่าเลย ถ้าโลกนี้ไม่มีแสงสว่าง
ผู้ชาย เกิดมาจาก ผู้หญิง
ผู้หญิง เกิดมาจาก ผู้ชาย
เวลา เกิดมาจาก ไม่มีเวลา
อากาศ เกิดมาจาก สุญญากาศ
เขียนอะไรไป ก็ดูคมคายได้ ไม่ต้องใช้มีด
คำถามคือ : ในเมื่อชีวิตนั้นแสนสั้นแถมยัง สัมพัทธ อีกต่างหาก แล้วเราจะ ยึดถือ สาระอันใดได้ ?
อิสรภาพ หรือ ความรัก
สาระที่แท้จริง ที่คงไม่มีใครคิดถึง อาจคือ ความรู้ทั้งหลาย คำคมที่ดูฉลาดทั้งหลาย ปรัชญาทั้งหลาย มักหลอกลวงเราเสมอ
หากจะเปลี่ยนมุมมอง ประโยคคำถามข้างบนเสียใหม่
“ในเมื่อชีวิตนั้นแสนสั้นแถมยังสัมพัทธอีกต่างหาก แล้วเราจะยึดถือสาระอันใดได้? ”
ให้กลายเป็น
“ชีวิตที่แท้ เป็นนิรันดร์ และคงอยู่ที่ตรงนั้น เสมอ “
( ไม่ได้แสนสั้น และ ไม่ได้สัมพัทธ )
ชีวิตที่แท้ ( จิตเดิมแท้ ) ไม่เคยส่งเสียงดัง
เรามีหน้าที่ต้อง Clear สิ่งแปลกปลอม ออกไปเรื่อย ๆ
เพื่อที่จะได้ยินสิ่งที่ชีวิต ได้กระซิบบอกแก่เราว่า
“ความรัก และ อิสรภาพ เป็นสิ่งเดียวกัน ไม่สามารถแยกจากกันแม้เพียงวินาทีเดียว”
เพราะหากแยกจากกันแล้ว ชีวิตที่แท้ ก็ได้ถูกทำลายไปด้วยเช่นกัน ชีวิตคู่ จะงดงาม หากยังเหลือที่ว่างให้แก่โลกส่วนตัว และ จินตนาการ
你和我的幸福不是1+1=2,
而是1/2+1/2=1。
ความสุขของฉันและเธอไม่ใช่ 1+1 = 2 ,
หากแต่คือ 1/2 + 1/2 = 1