1. ลงมือทำ
คุณคงเคยได้อ่านผ่านตากันมาบ้างแล้วว่า ให้คุณจินตนาการถึงอนาคตที่คุณอยากจะเป็น ที่คุณอยากจะมี จำนวนเงินที่คุณอยากจะได้ แล้วจินตนาการว่าคุณได้มันมาในครอบครองแล้ว แล้ววัน ๆ คุณก็นั่งทำแต่แบบนั้น ไม่ทำอย่างอื่นเลยนอกจากภาวนา
ขอให้คุณโชคดีครับ…
สำหรับผมแล้ว ผมเชื่อมั่นในสิ่งเดียวก็คือการลงมือทำ คุณจำเป็นต้อง Action บางอย่างให้เกิดผลลัพธ์ขึ้นมาจริง ๆ ไม่ใช่เอาแต่คิดว่าจะทำแบบนั้น ทำแบบนี้ อยากจะได้อย่างนั้น อยากจะได้อย่างนี้ ดังนั้น ลงมือทำซะ เดี๋ยวนี้เลย
2. เรียนรู้การขาย
พอพูดถึงเรื่องการขาย หลายคนก็เริ่มร้องยี้ขึ้นมาทันที ถ้าหากคุณคิดจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จแล้ว สิ่งที่คุณจำเป็นต้องเรียนรู้และลงมือทำก็คือ ‘การขาย’
การขายในที่นี้ ผมไม่ได้หมายถึงเฉพาะการขายสินค้าหรือบริการแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
คุณจำเป็นต้องขาย Vision ว่าธุรกิจในอนาคตที่คุณจะก้าวไปข้างหน้านั้นจะเป็นอย่างไร คุณจำเป็นต้องขาย Vision ให้กับทีมงาน ลูกค้า และนักลงทุน ว่าเพราะอะไรคนเหล่านี้ต้องมาทำงานให้กับคุณ มีแรงจูงใจอะไรที่จะทำให้คนเก่ง ๆ อยากมาทำงานกับคุณ หรือเพราะเหตุใดลูกค้าต้องซื้อสินค้าจากคุณแทนที่จะซื้อจากคู่แข่ง หรือทำไมและเพราะเหตุใด นักลงทุนจึงเลือกที่จะลงทุนในธุรกิจของคุณ
ดังนั้น ถ้าคุณไม่เริ่มต้นเรียนรู้การขายสิ่งเหล่านี้ คำแนะนำง่าย ๆ ของผมก็คือ คุณเลิกทำธุรกิจไปซะ น่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่ผมจะแนะนำให้กับคุณ
3. จงลงทุนในการพัฒนาทักษะในการเรียนรู้ของตัวคุณเอง
ผมมักจะแบ่งการเรียนรู้ของคนเราออกเป็น 4 ระดับด้วยกันก็คือ
ระดับที่ 1 – คุณไม่รู้ว่าต้องรู้อะไรบ้าง
ระดับที่ 2 – คุณเริ่มรู้แล้วว่าต้องเรียนรู้อะไรบ้าง แต่คุณยังไม่มีความรู้ด้านนั้น ๆ เลย
ระดับที่ 3 – คุณเรียนรู้บางสิ่งบางอย่าง และทำได้ดีระดับหนึ่ง แต่คุณทำมันได้ทีละอย่าง แต่คุณไม่สามารถทำอย่างอื่นไปพร้อม ๆ กันได้
ระดับที่ 4 – คุณสามารถทำสิ่งนั้นได้ดีมาก และสามารถทำได้ดีเป็นธรรมชาติ เป็นอัตโนมัติ

stevepb / Pixabay
4. ตั้งเป้าให้สูงเข้าไว้
มีหลาย ๆ คนเคยบอกเอาไว้ว่า การตั้งเป้าที่สูงเกินไป สุดท้ายก็ไปไม่ถึง ทำให้เกิดความรู้สึกแย่
แต่ที่แย่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การตั้งเป้าที่ต่ำเกินไป ต่ำจนแทบไม่ต้องออกแรง แทบไม่ต้องลุ้น สุดท้ายพอถึงเป้าหมายคุณก็หยุด คุณก็ผ่อน ชีวิตมันก็เลยไปได้แค่นั้น
ยังไงผมก็แนะนำให้คุณตั้งเป้าหมายให้สูงเข้าไว้ แต่หัวใจสำคัญของหัวข้อนี้ก็คือ การตั้งเป้าให้สูงกว่า Comfort Zone ของคุณ หรือตั้งเป้าให้สูงกว่าจุดที่คุณรู้สึกสบายใจขึ้นไปอีกนิด เมื่อถึงเป้าแรก คุณก็ตั้งเป้าใหม่ให้สูงขึ้นไปอีกนิด ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แล้วคุณจะเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
หลาย ๆ คนอาจจะคิดว่า จะมีเงินเยอะแยะไปทำไม จะเอาเงินไปทำอะไร แต่ผมอยากให้คุณลองคิดใหม่ว่า คุณทำไปเพื่อใคร ทำเพื่อครอบครัว ทำเพื่อคนที่คุณรัก และอยากช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าเรา
เมื่อนั้นคุณจะพบว่า คุณจะมีแรงผลักดัน มีแรงกระตุ้น ในการไปให้ถึงจุดหมายดังที่คุณตั้งใจเอาไว้
5. คุณต้องมี Vision ในอนาคตของตัวคุณเอง
ผ่านการตั้งเป้าหมายกันมาแล้ว ทีนี้ก็มาถึงการนึกถึงแนวทางในอนาคต ว่าเมื่อคุณไปถึงจุดนั้นแล้ว มันจะเกิดอะไรตามขึ้นมาบ้าง และคุณจะต้องทำอะไรบ้างเพื่อให้ไปถึงจุด ๆ นั้น
ทุก ๆ ครั้งที่คุณคิดจะไปให้ถึง ผมอยากให้คุณจดมันเอาไว้ แล้วเมื่อคุณสามารถทำมันได้สำเร็จ แล้วกลับมามองย้อนหลังคุณก็พบว่า เฮ้ย! เราทำได้แล้วว่ะ ไอ้ที่เราเคยเขียนเอาไว้ในอดีต
และนั่นจะทำให้คุณรู้สึกมีพลัง มีแรงบันดาลใจ ที่มั่นใจมากยิ่งขึ้นว่า ถ้าเราเอาจริง มันก็ไม่ได้ยากเกินความสามารถที่เรามีอยู่นี่นา
มันจะทำให้คุณ อยากลุกกระโดดออกจากเตียงนอนในทุก ๆ เช้า แล้วตั้งตาตั้งหน้าทำงาน เพื่อให้ไปถึงอนาคตที่เราออกแบบเอาไว้
6. จงซื่อสัตย์กับตนเอง
คุณผ่านการตั้งเป้าหมายมาแล้ว คุณผ่านการมี Vision ในอนาคตของคุณแล้ว และคุณมีแผนการที่จะนำพาธุรกิจของคุณไปสู่เป้าหมายเรียบร้อยแล้ว แถมยังเป็นแผนการที่เจ๋งสุด ๆ แผนการหนึ่งในเลยทีเดียว
แต่คำถามสำคัญ ที่จะทำให้แผนการของคุณนั้น แทบไม่มีความหมายใด ๆ เลยก็คือ ‘คุณโกหกตัวเอง’
ก่อนที่คุณจะเดินตามแผนการที่คุณวางเอาไว้ ก่อนอื่นเลย คุณต้องห้ามโกหกตัวเองว่าคุณเจ๋ง คุณไม่มีข้อบกพร่องใด ๆ เลย คุณมาไกลมาก ๆ
จงระวังเอาไว้…
ดังนั้น ก่อนอื่นเลย ก่อนที่คุณจะก้าวไปข้างหน้า คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า ณ ตอนนี้ “คุณอยู่จุดไหนแล้ว?” หากคุณตอบได้ว่า คุณอยู่ ณ จุดไหน ขั้นต่อไปคือ ตอบคำถามที่ว่า “คุณอยากจะไปถึงที่จุดไหน?” และสุดท้ายคือ “คุณจะก้าวไปถึงจุด ๆ นั้นได้อย่างไร?” “วิธีการคืออะไร?”
7. คุณจำเป็นต้องรวยให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
อย่าพึ่งเข้าใจผิดว่าผมจะให้คุณทำธุรกิจที่ผิดกฏหมาย หรือธุรกิจลูกโซ่ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณรวยระดับหนึ่งแล้ว คุณจะพบว่า คุณจะรวยเร็วขึ้นว่าเดิมหลายเท่าตัวมาก ดังคำกล่าวที่ว่า “เงินล้านแรกหาได้ยาก แต่ล้านต่อไปนี่ง่ายกว่ากันเยอะเลย”
หลักการทำงานของมันก็คือ เมื่อคุณมีเงินระดับหนึ่งที่ทำให้คุณไม่ต้องกังวลค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น คุณจะมีเวลาคิดมากขึ้น คิดถึงเรื่องการทำให้ธุรกิจเติบโตกว่าเดิม คิดถึงโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ คิดถึงวิธีทำเงินใหม่ ๆ และมากกว่าเดิม คิดถึงการนำเงินไปลงทุนให้เติบโต
และเคล็ดไม่ลับที่ทำให้คุณรวยเร็วที่สุดที่ผมหมายถึงก็คือ การที่คุณทำงานอย่างหนัก เพื่อให้สำเร็จเร็วที่สุด รวยให้เร็วที่สุด
เพราะเท่าที่ผมรู้มา เศรษฐีในโลกนี้ที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยตนเอง ส่วนใหญ่แล้วเป็นคนที่ทำงานหนักแทบทั้งสิ้น ดังคำกล่าวที่ว่า “ลำบากก่อนสบายทีหลัง” คือการอดทนการทำงานอย่างหนักในช่วงแรก เพื่อให้สบายในช่วงหลัง
8. จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว
คิดก่อนทำ ไม่ใช่ทำก่อนคิด…
ก่อนอื่นเลยคุณจำเป็นต้องสร้างภาพในหัวขึ้นมาก่อนว่าในระยะยาวคุณจะไปอยู่ที่จุดใด ไม่ใช่แค่คิดล่วงหน้าแค่ 3 เดือน แต่คุณต้องคิดอย่างน้อยล่วงหน้าใน 3 ปีต่อจากนี้
เพราะการกระทำทุกอย่างมีจุดกำเนิดมาจากสิ่งที่เราคิด ดังนั้น ถ้าคุณสามารถควบคุมความคิดได้เป็นอย่างดี ได้อย่างมีสติ เมื่อนั้นร่างกายของคุณจะพาคุณไปยังจุดหมายที่คุณตั้งใจเอาไว้
9. สร้างทีมที่แข็งแกร่งขึ้นมา
เราอาจจะเคยได้ยินประโยคทำนองที่ว่า
“คนเก่งไม่จำเป็นต้องสอนใครหรอก”
แต่ถ้าดูตัวอย่างจาก Jordan Belfort ที่เป็นนักขายระดับพระกาฬ
ที่สามารถปิดยอดขาย 400 ล้านบาท ภายในเวลา 3 นาที ได้แล้วล่ะก็ ความคิดนี้ตกไปได้เลย เพราะ Jordan Belfort คือคนที่ขายเก่งมากๆ ไม่ว่าบริษัทตลาดหุ้นที่เขา เคยทำงานด้วยจะเจ๊งไม่เป็นท่าแล้วเริ่มต้นกับบริษัทใหม่ เขาก็ยังคงเป็นนักขายที่เจ๋งอยู่ดี
แต่ด้วยความเก่งนั้นก็ทำมูลค่าให้เขาหลายล้านบาทต่อปีแล้ว
แต่ทว่าที่เจ๋งไปยิ่งกว่านั้นก็คือการสอนคนอื่นให้เก่งเหมือนตัวเองได้ หากใครได้มีโอกาสดูหนังเรื่อง The Wolf of Wall Street แล้วล่ะก็ เขาจะเกณฑ์คนรุ่นแรกที่ยังไม่ค่อยรู้ตาสีตาสาเรื่องการขายสักเท่าไหร่นัก
แต่เขาสามารถปั้นให้คนธรรมดา ๆ กลายเป็นสุดยอดนักขายที่เก่งโคตร ๆ แล้วให้นักขายเหล่านั้นทำงานแทนเขา
หรือจะเรียกง่าย ๆ ก็คือ สามารถปั้นให้คนธรรมดาทั่ว ๆ ไป
กลายเป็นนักขายระดับพระกาฬได้นี่แหละ
เจ๋งสุดๆ……………
10. กำหนดโชคชะตาของตัวคุณเอง
สิ่งที่แตกต่างอย่างเห็นได้ชัดเจนอย่างหนึ่งระหว่างคนรวยกับคนจนก็คือ คนจนเชื่อว่า ชีวิตของเขาถูกลิขิตให้เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ในขณะที่คนรวยมีแนวคิดว่าตัวเขาเองสามารถกำหนดชะตาชีวิตของตัวเองได้
แต่นี่คือ 3 สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง และห้ามทำเด็ดขาด ถ้าหากคุณยังอยากจะร่ำรวยและประสบความสำเร็จ
ข้อที่ 1 หยุดโทษนั่น โทษนี่สักที
เมื่อไหร่ก็ตามที่เกิดความผิดพลาด ไม่สมหวัง ส่วนใหญ่มักจะชอบโทษรัฐบาลบ้าง โทษหัวหน้าบ้าง โทษเพื่อนร่วมงานบ้าง โทษแฟนบ้าง โทษพ่อ โทษแม่ สารพัดสารเพในการหยิบยื่นความผิดให้ผู้อื่น
แต่น้อยคนและน้อยครั้งนัก ที่มักจะโทษตัวเอง
ข้อที่ 2 สารพัดในการหาข้ออ้าง
มันน่าแปลกที่คนเราสามารถหาเหตุผลสนับสนุนได้สารพัดอย่างเพื่อนำมาอ้างให้สมเหตุสมผล ในการที่จะร่ำรวยและประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น
ฉันทำไม่ได้อย่างเขาหรอก เขาเรียนเก่งกว่าฉันตั้งเยอะ…
เงินไม่สำคัญสำหรับฉันหรอก เงินไม่สามารถซื้อได้ทุกสิ่งทุกอย่าง (แต่เท่าที่ผมรู้มาก็คือ เรื่องสำคัญ ๆ ในชีวิตประจำวันของคนเรามักจะใช้เงินแทบทุกอย่าง ยกเว้นเสียแต่ว่าคนอาศัยอยู่บนโลกใบนี้เพียงคนเดียว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครเลย)…
ข้อที่ 3 หยุดบ่นนั่น บ่นนี่
สำหรับคนที่ยังคงไม่เลิกนิสัยในข้อนี้ ผมบอกได้เลยว่าคนในข้อนี้น่ากลัวสุด ๆ และเป็นคนที่ผมไม่ชอบเอามาก ๆ เลย
เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่คนเริ่มบ่น เขาจะเริ่มดึงดูดสิ่งไม่ดีต่าง ๆ นา ๆ ประเดประดังเข้ามาแบบไม่มีที่สิ้นสุด มันเหมือนกับเขากำลังสร้างตัวเองให้เป็นแม่เหล็กดูดแต่สิ่งที่ไม่ดีเข้ามาในชีวิต และนั่นก็คือเหตุผลที่ผมจะไม่คบคนประเภทนี้อย่างเด็ดขาด และผมก็แนะนำให้คุณอยู่ห่างคนจำพวกนี้ให้ไกล
“สิ่งเดียวที่ขวางกั้นระหว่างตัวคุณกับเป้าหมายของคุณก็คือ สารพัดเรื่องที่คุณแต่งขึ้นเพื่อเป็นข้ออ้างที่บอกว่าคุณทำไม่ได้”