
Image by: www.wallpaperswide.com
คนทำค้าขายออนไลน์ขนาดเล็ก เช่น ธุรกิจครอบครัวสองสามคน หรือธุรกิจเจ้าของคนเดียวแบบ Solo-entrepreneur อาจมียอดขายสินค้าออนไลน์เฉลี่ยเดือนละ 2 – 4 แสนบาท หากเป็นสินค้า Mass market ราคาถูก คู่แข่งเยอะก็อาจมียอดขายน้อยลงไปอีก แต่ทำงานหนักมาก
ส่วนตัวผมก็สร้างยอดขายหลักแสนต้นๆ ในธุรกิจมานานเป็นปีจนเรียกว่าเข้าขั้น เบื่อ กันเลยทีเดียว อาจฟังดูแปลก แต่แพทเทิร์นการเงินเป็นแบบนี้ครับ
[pullquote align=”full” cite=”” link=”” color=”” class=”” size=”16″]เงินหมื่นแรกหายาก แต่เมื่อสามารถทำเงินทะลุหลักหมื่นแรกสำเร็จ จากนั้นคุณก็จะทำเงินหมื่นได้แทบทุกเดือนตลอดทั้งปี[/pullquote]
เงินแสนแรกหายาก แต่เมื่อสามารถทำเงินทะลุหลักแสนแรกสำเร็จ จากนั้นคุณก็จะทำเงินแสนได้แทบทุกเดือนตลอดทั้งปี และผมก็มาติดตรงรายได้หลักแสนนี้ยาวนานจนกลายเป็นความชินชาและคิดในใจว่า “แกรรร ขอเห็นยอดขายเดือนละล้านบ้างได้ป่ะ” อารมณ์ฮาๆ ประมาณนี้เลยครับ แต่อะไรที่ทำให้ผ่านขีดจำกัดไปได้ ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับความพรสวรรค์แต่อย่างใด เป็นหลักสากลโลกที่ทุกคนนำไปประยุกต์ใช้ได้ ขอนำมาเผยแนวทางดังนี้ครับ
จุดเริ่มต้นจากเงินเดือน 4,500 บาท ทำให้ต้องคิดหนัก
ผมเริ่มทำงานครั้งแรกด้วยเงินเดือน 4,500 บาท หากใช้หลักคณิตศาสตร์ขั้นพื้นฐานโดยไม่รวมปัจจัยทางโลกมาประกอบผมจะต้องใช้เวลา 223 เดือน หรือเกือบ 19 ปีในการออมเงินให้ได้ 1 ล้านบาท แต่ในความเป็นจริง เรื่องแบบนั้นไม่มีทางเกิดขึ้นได้
ไม่ว่าผมจะพยายามขวนขวายพัฒนาสายงานตัวเองแค่ไหน แต่ก็ไม่อาจทะลุเพดานเงินเดือน 50,000 ไปได้ และที่สำคัญผมเก็บเงินแทบไม่ได้เลย ยิ่งทำให้ความหวังจะทำเงินล้านแรกเป็นไปได้ยากเข้าไปใหญ่
ผมไม่เคยหยุดคิดจะทำเงินล้าน ทั้งทำงานประจำ และหารายได้เสริม ทำธุรกิจส่วนตัวสายอีคอมเมิร์ซ ฯลฯ ผมสามารถไปถึงจุดที่รายได้ต่อเดือนแตะหลักแสนสำเร็จ แต่ก็วิ่งอยู่ในกรอบ 100,000 – 150,000 บาทอยู่เป็นปีจนผมเริ่มเบื่อและเฝ้ารอที่จะเห็นตัวเองทะลุไป 2 แสน หรือ 3 แสนบาทต่อเดือนบ้าง กระทั่งวันหนึ่ง หลังจากก้าวมาเปิดบริษัททำธุรกิจส่วนตัวเต็มรูปแบบ ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ผมสามารถสร้างยอดขายแตะหลักล้านได้สำเร็จ
เมื่อมองย้อนกลับไป ผมเกิดความรู้สึกว่า เมื่อสิบปีก่อน ณ เงินเดือน 4,500 บาท เรามองเงินหมื่นเป็นเงินเยอะ ส่วนเงินแสนนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ แต่พอเราหาเงินหมื่นได้ รายได้หลักหมื่นกลายเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถหาได้ง่ายๆ ในขณะที่รายได้หลักล้านเป็นเรื่องที่แทบเป็นไปไม่ได้ – แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปจากเดิมคือ เมื่อหาเงินล้านได้แล้ว จากนี้ไปผมกลับรู้สึกว่า เงินสิบล้านและร้อยล้านเป็นเรื่องที่ ‘เป็นไปได้’ — ทำไมทัศนคติผมถึงเปลี่ยนไป?
Secret of the Millionaire Mind เปลี่ยนทัศนคติ
หนังสือขายดีที่แปลไทยในชื่อ ถอดรหัสลับสมองเงินล้าน เขียนโดย T. Harv Eker มีส่วนช่วยปรับทัศนคติผมได้มาก หนังสือเล่มนี้สอนให้เราเปลี่ยนโครงสร้างทางการเงินจากภายใน มองเงินในมุมใหม่ เพื่อที่จะเปิดรับและดึงดูดเงินได้มากขึ้น
ผมพบว่าทัศนคติของเราเองนั่นแหละที่ปิดกั้นโอกาส โดยผมเอาใจไปผูกกับความคิดว่าเงินหายาก ยิ่งตอนช่วงวัยรุ่นที่ครอบครัวประสบปัญหาทางเงินทำให้ฐานะตกต่ำลง ผมยิ่งโทษปัจจัยภายนอกและโชคชะตาว่าเพราะเราเกิดมาซวย และไม่มีทางจะรวยได้ ซึ่งการคิดแบบนี้ยิ่งทำให้ชีวิตแย่ลงจริงๆ ครับ
และถึงแม้ว่าผมจะพัฒนาตัวเองจนเติบโตในหน้าที่การงานแต่เพราะทัศนคติบางอย่างจึงทำให้ผมไม่สามารถปลดล็อคทางการเงินได้อย่างจริงจัง กระทั่งมีโอกาสได้นำหลักคิดบางข้อจาก Secret of the Millionaire Mind มาประยุกต์ใช้ดูสักตั้ง
หลักคิดจากหนังสือนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ มีพูดกันมานานแล้วเพียงแต่จะมีกี่คนที่อ่านหนังสือแล้วทำตามจนประสบผล? ผมจึงขอเอามานำเสนอในมุมของการได้ลงมือปฏิบัติจริงเพื่อแสดงว่า ถ้าทำจริงๆ มันก็ทำได้นะ!
1. มองเงินอย่างเป็นมิตร
เป็นหลักคิดที่เบสิคที่สุดและพูดกันแทบจะทุกตำราปลดล็อคการเงิน
หลักคิดที่ว่า การที่คุณจะรักษาและเติบโตไปพร้อมกับความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวคุณได้นั้นมีทางเดียวคือคุณต้องเป็นมิตรกับพวกเขาด้วยหัวใจ – เงินก็เช่นกัน
ถ้าคุณเกลียดเงิน ด่าเงิน และเพ่งโทษว่าเงินคือต้นเหตุของปัญหาและความชั่วร้ายทั้งปวง หากคิดแบบนี้ ชาตินี้คุณจะรวยไหม? – คำตอบคือ เงินก็จะหนีคุณไปหาคนที่รักมันไง!
[pullquote align=”full” cite=”” link=”” color=”” class=”” size=”16″]เป็นมิตรกับเงินในที่นี้ยังหมายรวมไปถึงการชื่นชมคนสำเร็จและร่ำรวย[/pullquote]
ถึงวันนี้ผมกล้าพูดเลยว่าคนทำงานหรือทำธุรกิจจนร่ำรวยส่วนมากเป็นคนเก่ง ถ้าไม่เก่งเขาไม่สามารถที่จะสร้างคุณค่าจนได้เงินเข้ามาในชีวิตมากมายขนาดนั้นครับ ฉะนั้นอย่าเพ่งโทษ จับผิด คนเก่งที่ทำเงินได้เยอะ เพราะนั้นคือการสร้างศัตรูกับเงินทางอ้อม ขอให้มองคนดีมีความสามารถที่ร่ำรวยอย่างเป็นมิตร รู้สึกดีกับเขา และบอกตัวเองว่า ฉันจะดี เก่ง และร่ำรวยอย่างเขาแน่นอน
สิ่งที่ต้องจำให้มั่นคือ เงินไม่ได้ทำให้คุณเปลี่ยนไป และไม่ได้ทำให้คนดีกลายเป็นคนเลว แต่เงินทำให้คุณเป็นตัวของตัวเองได้มากขึ้น ถ้าคุณเป็นคนเลว คุณก็ทำสิ่งเลวๆ ได้มากขึ้น แต่ถ้าคุณเป็นคนดี เงินจะช่วยให้คุณทำสิ่งดีๆ มากขึ้น จนถึงขั้นบูรณะโลก หรือเปลี่ยนให้โลกนี้เป็นสวรรค์ก็ยังได้! – นี่คืออานุภาพของเงินที่มาบรรจบกับคุณสมบัติของบุคคล
2. คิดใหญ่ ไม่ได้พูดเอาเท่ห์
หนังสือพัฒนาตัวเองของต่างประเทศหลายเล่มบอกให้คิดใหญ่ เมื่อก่อนผมก็ไม่เชื่อ คิดใหญ่แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรในเมื่อตัวเรามีแค่นี้ นี่ยังรวมไปถึงการตั้งเป้าหมายบ้าบออะไรต่างๆ นานา ที่ผมทำตามตำราฝรั่ง แต่ทำแล้วก็ไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าและตามกำหนดการณ์เสียที
กระทั่งวันหนึ่งที่ผมทำแคมเปญสินค้าใหม่ของบริษัท ตอนนั้นประชุมกับหุ้นส่วนว่าสินค้าใหม่นี้ยอดขายสัก 2-3 แสนบาทในช่วงเปิดตัวผมก็ดีใจแล้ว แต่หุ้นส่วนก็คะยั้นคะยอว่า เอาล้านนึงไปเลย ในที่สุดผมก็ตัดสินใจว่า “1 ล้านก็ 1 ล้านวะ!”
แล้วตัวเลขยอดขายหนึ่งล้านก็อยู่ในใจผมมาตลอด และก่อนจะเปิดตัวสินค้าประมาณ 2 สัปดาห์ผมก็เขียนเป้ายอดขาย 750,000 บาทติดไว้ที่ฝาผนัง ตอนนั้นลังเลที่จะเขียนมาก เพราะที่ผ่านมาไม่เคยเขียนเป้าแล้วสำเร็จ ครั้งนี้ก็กลัวจะล้มเหลวและมองไม่เห็นทางที่จะทำได้ แต่ก็ตัดใจเขียน และในที่สุดก็ทำสำเร็จทะลุเป้าไปแทบจะเฉียด ‘1 ล้านบาท’
[pullquote align=”full” cite=”” link=”” color=”” class=”” size=”16″]นี่คือพลังของการ คิดใหญ่ และ การตั้งเป้า[/pullquote]
ถ้าผมคิดเล็ก เอาแค่สบายใจที่ 2-3 แสน นอกจากจะเหนื่อยมากแล้วยังเสี่ยงที่กิจการจะเจ๊งด้วย ประสบการณ์นี้ทำให้ผมรู้ว่า คิดลบ และ คิดเล็ก นอกจากจะใช้พลังงานเท่ากันแล้ว ยังเหนื่อยเท่ากัน ดังนั้น คิดบวก และ คิดใหญ่ไปเลย ถ้าไม่ได้ตามเป้าคือประสบการณ์ แต่ถ้าทะลุเป้าคือรู้สึกเหมือนเครื่องบิน Take-off ทะยานสู่ท้องฟ้าไปเลยครับ
การคิดใหญ่และการตั้งเป้าหมายเป็นเรื่องจริงๆ เพียงแต่มันอาจไม่ได้สำเร็จในคราวแรกๆ ที่คุณลองทำ และที่สำคัญคือ ‘หัวใจ’ มีผลต่อความสำเร็จมาก คุณต้องศรัทธาในตัวเองจริงๆ เพื่อจะบรรลุเป้าหมายใหญ่ครับ
3. ให้คุณค่าเพื่อเพิ่มมูลค่า
[pullquote align=”left” cite=”” link=”” color=”” class=”” size=”16″]คนที่จ้องจะเอาเงินจากคนอื่นมากๆ จะไม่ได้มาก หรือ ไม่ได้นาน เข้าตำราซื่อกินไม่หมด คดกินไม่นาน[/pullquote]
‘เงิน’ เกิดจาก ‘คุณค่า’ ที่คุณส่งมอบให้ผู้อื่น และคนรวยเกือบทุกคนรวยเพราะเขาสร้างคุณค่ามหาศาลให้กับตลาด ยิ่งสิ่งที่เขาทำมีความสำคัญกับผู้คนมากเท่าไร เขาก็ยิ่งรวยมากเท่านั้น อาทิ Facebook ทำให้พ่อแม่พี่น้องได้เจอกันแม้อยู่คนละซีกโลก หรือ Google จัดการฐานข้อมูลธุรกิจทั่วโลกให้ค้นหาเจอในเสี้ยววินาที ผู้คิดค้นยารักษาโลกทำให้คุณภาพชีวิตคนดีขึ้น หรือ ผู้สร้างระบบธุรกรรมออนไลน์ต่างๆ ที่ทำให้ชีวิตคนง่ายขึ้น เหล่านี้ทำให้ Founder รวยเป็นพันหรือหมื่นล้านบาท!
วันนี้หลายๆ คนพยายามมองหาว่าใครทำอะไรรวยแล้วจะไปทำตาม ใครขายอะไรรวยก็จะไปขโมยสินค้าเขามาขายแข่งและตัดราคา – การทำแบบนี้ไม่ทำให้คนส่วนมากร่ำรวยในระยะยาว ถึงจุดหนึ่งตลาดจะวายเพราะผู้แข่งขันที่มากเกินไป การจะร่ำรวยในระยะยาวคือการสร้างคุณค่าจากสิ่งที่คุณภูมิใจ สิ่งที่คุณรัก และมีประโยชน์กับผู้บริโภคโดยแท้จริงครับ
สรุป
ข้อแรก: การสร้างเงินล้านอยู่ที่ทัศนคติ เมื่อคุณมีทัศนคติที่เหมาะสม และจิตใจที่เปิดรับเงินล้าน คุณจะมีโอกาสสร้างมันได้เร็วกว่าที่คิด
ข้อสอง: การสร้างเงินล้านต้องมีรากฐานของ ‘อาชีพ’ รองรับ คุณไม่สามารถรวยได้ด้วยการท่อง ฉันร่ำรวยๆๆ ทั้งวันทั้งคืน คุณต้องมีอาชีพ คุณต้องทำบางสิ่งบางอย่างที่แลกกับเงินได้ ไม่ว่าจะเป็นการขายทักษะพิเศษต่างๆ หรือการขายสินค้าและบริการต่างๆ ครับ
เมื่อข้อหนึ่งและข้อสองมาประกอบกัน ณ จุดหนึ่งคุณจะสามารถสร้างรายได้ หรือยอดขายธุรกิจหลักล้านบาทต่อเดือนได้
ในโลกนี้มีเงินเหลือเฝือสำหรับทุกคน แต่เงินนั้นมักกระจุกตัวอยู่กับคนแค่กลุ่มหนึ่ง และนั่นไม่ใช่เพราะเขาเป็นคนชั่วช้า ละโมบ โลภมากอะไรเลย แต่เพราะพวกเขาเป็นคนที่มีทัศนคติที่ดี เข้าใจธรรมชาติการไหลเวียนของเม็ดเงิน คิดการใหญ่ และลงมือทำสิ่งที่มีคุณค่ากับตลาด