สำหรับบทความนี้ เป็นข้อคิดที่ผมได้จากการอ่านหนังสือดี ๆ เล่มหนึ่งที่มีชื่อว่า “สมองเศรษฐี” ที่เขียนโดย “ขุนเขา” โดยจากคำบอกเล่าญาติสนิท มิตรสหาย บอกต่อ ๆ กันมา เล่มนี้เขาเขียนได้ดี ผมเลยไม่รอช้าต้องไปหามาเสพย์ทันควัน
คติในการซื้อหนังสือสักเล่ม สัมมนาสักงาน คอร์สเรียนสักคอร์ส หรือการลงทุนในความรู้สักอย่างนั้น ผมมักจะมีความคิดอยู่เสมอว่า ขอเพียงให้ได้ไอเดียอะไรบางอย่าง สักอย่าง หรืออย่างเดียว นำไปต่อยอดได้อย่างมากมายมหาศาล แค่เพียงอย่างเดียว นั่นก็เพียงพอสำหรับการลงทุนในความรู้นั้น ๆ แล้ว
ยกตัวอย่างเช่น หนังสือสองร้อยกว่าบาท แต่มีประโยคหนึ่ง ทำให้คุณได้ไอเดียอะไรบางอย่าง แล้วคุณนำไอเดียจากหนังสือนั้น ไปลงมือทำอย่างจริงจัง แล้วเกิดผลลัพธ์ที่มากเกินกว่าราคาหนังสือ แม้ว่าจะไม่ใช่เป็นตัวเงิน แต่รู้สึกได้ว่า มันมีมูลค่าสูงกว่าราคาหนังสืออย่างแน่นอน
เท่านี้ก็ควรค่าแก่การลงทุนแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เศรษฐีหลาย ๆ คน มักจะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า สิ่งแรกที่คุณควรลงทุน ก็คือ “การลงทุนในตัวคุณเองก่อนเป็นอันดับแรก”
และ “ขุนเขา” เองก็เลือกที่จะให้ความหมายของคำว่า “เศรษฐี” แปลในภาษาบาลีว่า “ผู้ประเสริฐ” แทนคำว่า “คนรวย” ซึ่งมันมีมากกว่าเรื่องของตัวเงินเพียงอย่างเดียว
และนี่คือ 10 สิ่ง ที่ผมได้เรียนรู้จากหนังสือ “สมองเศรษฐี”
โฟกัสที่เป้าหมาย ไม่ใช่สิ่งของรายทาง
เราอาจจะเคยอ่านหนังสือแนวรวย ๆ กันมาเยอะแล้วว่า สิ่งที่สำคัญมากที่สุดสำหรับคนที่เป็นเศรษฐีก็คือ “การมีเป้าหมายที่ชัดเจน”
การเดินทางจากคนธรรมดา ๆ ไปสู่เส้นทางมหาเศรษฐี ได้นั้น “ขุนเขา” ได้ระบุองค์ประกอบของเศรษฐีเอาไว้อยู่ 3 อย่างที่ต้องใช้ร่วมกันก็คือ
- Heart : ฝัน > จุดหมาย (ฝันนอกกรอบแบบตอนเด็ก)
- Head : คิด > แผนที่ (คิดอย่างผู้ใหญ่ที่รอบคอบ)
- Hand : ทำ > ยานพาหนะ (ทำงานไม่เหน็ดไม่เหนื่อยเหมือนเมื่อตอนเป็นวัยรุ่น)
การที่จะเดินทางไปที่ใดก็ตาม เราจำเป็นที่จะต้องกำหนดจุดหมายที่จะไปก่อน และเช่นกันหากไร้ซึ่งแผนที่ คุณก็มีโอกาสที่จะหลงทางได้ตลอดการเดินทางและหากไปเริ่มต้นการเดินก้าวแรกก็คงไปไม่ถึงจุดหมาย และหากต้องการไปให้ถึงจุดหมายอย่างรวดเร็ว ก็จำเป็นที่จะต้องเลือกยานพาหนะที่เหมาะสม
ตัวอย่างเช่น หากเราต้องการเดินทางจากกรุงเทพฯ ไปยังเชียงใหม่ ดังนั้น เป้าหมายของเราก็คือ การเดินทางไปให้ถึงเชียงใหม่ และหากเราไม่ระบุวันเวลาที่ชัดเจน ก็อาจจะไม่ได้ไป ไม่ว่าง ไปไม่ถึงสักกะที ดังนั้น นอกจากกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจนแล้ว ยังต้องระบุวันและเวลาที่จะเดินทางด้วย เช่น จะไปถึงเชียงใหม่วันที่ 30 ธ.ค. ถึงเวลาประมาณ 18.00 น. โดยประมาณ
จากนั้นคุณก็จำเป็นที่จะต้องวางแผนการเดินทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเตรียมตัว เตรียมสิ่งของให้พร้อมก่อนออกเดินทาง และเลือกว่าจะเดินทางด้วยวิธีใด หากคุณเลือกที่จะเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัว คุณต้องเตรียมอะไรบ้าง ใช้เวลาเดินทางประมาณกี่ชั่วโมง ต้องออกเดินทางตอนกี่โมง จะแวะรายทางตรงไหนบ้าง หากคุณไม่วางแผน ไปเรื่อยเปื่อย คุณอาจจะถึงเชียงใหม่ก็จริง แต่ก็ไม่น่าจะทันก่อน 18.00 น. ที่คุณตั้งใจเอาไว้
เรามองเห็นด้วยสมองไม่ใช่ด้วยตา
ดวงตาเป็นเพียงจอภาพรับแสงเท่านั้น แต่สมองต่างหากที่รับรู้สิ่งที่เห็น และสิ่งที่สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้ก็คือเรื่องของการรับรู้ด้วยภาพ
ไม่ว่าจะเป็นภาพโฆษณา, ภาพประกอบบทความ ภาพโพสต์บน Social Network จำเป็นที่จะต้องหยุดให้ผู้คนต้องดูภาพของคุณ ต้องดูเนื้อหาของคุณให้ได้ ไม่เช่นนั้นแล้ว ต่อให้เนื้อหาข้างในดีแค่ไหน เขาก็อาจจะเลื่อนจอผ่านไป โดยไม่ทันได้เข้าไปดูเลยด้วยซ้ำ
ลักษณะภาพที่ทำงานได้ดีคือ
- ภาพที่เป็นสัณชาตญาณการเอาตัวรอดของมนุษย์
- ภาพอาหาร
- ภาพหน้าตาของผู้คน
- ภาพที่เล่นกับอารมณ์ของผู้คน
- และภาพนั้นต้องเกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่คุณนำเสนอ
ดังนั้น หากคุณทำธุรกิจ คุณจำเป็นที่จะต้องซีเรียสในการเลือกรูปภาพที่ผู้คนให้การตอบสนองดีที่สุดไปใช้
คุณอาจจะเริ่มมีคำถามในใจว่า “แล้วจะรู้ได้ยังไงว่าใช้ภาพไหน?”
คำตอบคือ “คุณไม่มีทางรู้หรอก” เพราะคนตัดสิน ไม่ใช่คุณที่เป็นเจ้าของธุรกิจ แต่หากเป็น กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มลูกค้าของคุณเป็นคนตัดสินใจต่างหาก
ดังนั้น ในเมื่อยุคสมัยนี้ มีเครื่องมือออนไลน์มากมาย ที่สามารถใช้เวลาทดสอบไม่นาน ก็สามารถรู้ได้ว่า รูปภาพใดที่ผู้คนให้การตอบรับที่ดีที่สุด
ยกตัวอย่างเช่น…
หากคุณลงโฆษณาบน Facebook ซึ่งเริ่มต้นได้เพียงใช้เงินแค่ 30 บาท คุณก็สามารถทดสอบเบื้องต้นได้แล้วว่า ภาพใด ในโฆษณาของคุณ ที่ผู้คนบน Facebook เกิด Engagement มากที่สุด เช่น Like, Share หรือ Comment
ผมอ่านแล้ว คิดแล้ว เขียนแล้ว ลงมือทำแล้ว จากนี้ถึงเวลาของท่านผู้อ่านแล้วล่ะครับว่า จะได้อะไรจากการลงทุนความรู้ในตัวของคุณเอง แล้วเขียนมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ